19 ต.ค. โมเดล 3D โดยเทคโนโลยี GIS ช่วยชุบชีวิตเมืองในแคลิฟอร์เนียให้กลับมามีชีวิตชีวา
ในช่วงที่เศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง เมืองโคลตัน ในรัฐแคลิฟอร์เนียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกระหว่างจะเพิ่มคลังสินค้ามากขึ้น หรือจะเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเมืองมากขึ้น เดิมทีเมืองโคลตันนั้นมีประชากรประมาณ 54,000 คน และเป็นศูนย์กลางทางรถไฟด้วยระยะห่างลอสแองเจลิสไปทางตะวันออกเพียง 50 ไมล์ และเป็นเมืองที่ยังขาดแคลนที่อยู่อาศัยที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนทำงานที่มีความรู้เพิ่มขึ้น แต่วันนี้เมืองโคลตันมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ผ่านโครงการ Hub City Centre มาร์เก็ตเพลสรูปแบบใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Santa Monica’s Third Street Promenade ที่ชูการเติบโตทั้งทางพาณิชย์และการอยู่อาศัยผ่านการผสมผสานความหลากหลายด้าน Live Work Shop และ Play
หลายศตวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาเมืองโคลตันต้องหยุดชะงักเพราะประสบปัญหาทางรถไฟเก่าแก่กว่า 130 ปีที่ทำให้การจราจรติดขัด และปัญหาการสูญพันธุ์ของแมลงท้องถิ่น แต่แล้วในปี ค.ศ. 2014 เมื่อพื้นที่ว่างเปล่ากว่า 450 เอเคอร์ของเมืองได้ถูกปลดปล่อย นายอาร์เธอ มอร์แกน ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองโคลตัน จึงได้วางแผนพัฒนาพื้นที่นั้น ซึ่งดูจะไม่เป็นไปตามเทรนด์แบบเมืองใกล้เคียงที่ปล่อยให้คลังสินค้าเข้าครองพื้นที่ว่างเปล่า แต่กลับคิดแตกต่างด้วยการนำเทคโนโลยี GIS มาใช้วาดแผนที่เปลี่ยนเมืองโคลตันให้น่าอยู่และแข็งแรงยิ่งขึ้น
นายมอร์แกนมองอนาคตของศูนย์กลางของเมืองที่ประสบความสำเร็จ ว่าควรต้องมีที่อยู่อาศัยของประชากรที่มีรายได้หลากหลายควบคู่กับหลักการการดำเนินชีวิตแบบ “Four Fs” ประกอบด้วย Fun Food Fitness และ Fashion โดยมีศูนย์การแพทย์ Arrowhead Regional Medical Center และมหาวิทยาลัย California University of Science and Medicine ประสานให้เมืองรวมตัวเป็นหนึ่ง ซึ่งต่อมาทีมงานของนายมอร์แกนได้พัฒนาโครงการ Hub City Centre ด้วยการนำเทคโนโลยี GIS มาใช้ในการสร้างเมืองในรูปแบบ Digital twin เพื่อวางแผนและทำการตลาด ทั้งยังดูแลโครงการให้เดินหน้าฝ่าอุปสรรคแม้ต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา
นายมอร์แกนเผยว่า “เรารู้ว่าเราต้องการอะไร เป้าหมายของเราคืออะไร และเราเชื่อว่าเทคโนโลยี GIS ช่วยให้เราบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อดึงธุรกิจและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ มาร่วมมือกับเราได้”
กำจัดการจราจรที่ติดขัด
เมืองโคลตันตั้งอยู่ท่ามกลางทางแยกเพราะพื้นที่เกือบใจกลางเมืองมีทางรถไฟ 2 สายตัดผ่าน คือ สายตะวันออก-ตะวันตกของบริษัท Union Pacific ตัดกับสายเหนือ-ใต้ของบริษัท Burlington Northern Santa Fe (BNSF) แถมไม่ไกลจากนั้นยังมีทางหลวง Interstate 10 มาเจอกับ Interstate 215 อีกด้วย
แม้ทางรถไฟจะมีความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและเอกลักษณ์ของเมือง แต่ก็สร้างความขัดแย้งให้เมืองโคลตันมายาวนานเช่นกัน เพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างการแข่งขันด้านทางรถไฟในปี พ.ศ. 1883 จึงมีการสร้างทางรถไฟแบบคู่ตัดผ่านกันที่ใจกลางเมือง ทำให้รถไฟสามารถผ่านได้ทั้ง 4 ทิศ แต่นั่นก็ทำให้เมืองต้องมีแผนสำรองรองรับปัญหาการเปลี่ยนเส้นทาง ปัญหาการการจราจรบนถนนที่ถูกกีดขวาง และปัญหามลพิษทางอากาศจากหัวรถจักรที่ไม่ทำงาน
การแก้ปัญหาเส้นทางรถไฟนี้เป็นเรื่องที่ล่อแหลมอย่างมาก หากหยุดการขนส่งเพียงไม่นานก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงได้ เพราะสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐอเมริกามากกว่า 40% มาจากท่าเรือลอสแองเจลิส และท่าเรืองลองบีช ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะถูกขนส่งผ่านเมืองโคลตันเพื่อไปคลังสินค้าใกล้เคียงหรือเดินทางไปเมืองอื่น ๆ ต่อไป
ในที่สุดทางออกของเมือง คือ การออกแบบแผนที่เส้นทางเดินรถไฟใหม่ รวมทั้งก่อสร้างทางลอยฟ้าเพื่อให้ทางรถไฟสายตะวันออก-ตะวันตกของบริษัท Union Pacific ข้ามผ่านสายเหนือ-ใต้ของบริษัท BNSF และการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2013 ซึ่งแผนการนี้ช่วยกระตุ้นให้เกิดงานและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับเมืองโคลตันหลังจากที่ต้องหยุดชะงักมาเป็นหลายสิบปี
เมื่อรถไฟไม่ขัดขวางถนนแล้วการวางแผนปรับปรุงเมืองจึงก้าวต่อไป แต่เมืองโคลตันก็ยังมีอีกหนึ่งอุปสรรคที่สำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาเมือง กล่าวคือ ในปี 1993 องค์กร US Fish and Wildlife Service ได้เข้ามาขวางการก่อสร้างบนที่ดินกว่า 450 เอเคอร์อันเนื่องมาจากปัญหาความเสี่ยงในการสูญพันธุ์แมลงวันพื้นเมืองที่มีชื่อว่า Delhi Sands flower-loving fly ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทราย Delhi sand dunes ที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์จากกระแสของลม ตั้งอยู่ใน Inland Empire พื้นที่มีลักษณะกึ่งแห้งแล้งทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
เมืองโคลตันแก้ปัญหานี้ด้วยการนำแผนที่จากเทคโนโลยี GIS ที่แสดงประเภทของดินภายในเมืองเพื่อวางแผนสร้างความสมดุลในการปกป้องแมลงวันไปพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยการจัดสรรพื้นที่กว่า 50 เอเคอร์ที่เหมาะสมสำหรับแมลงวัน และพื้นที่ส่วนที่เหลือในการพัฒนาต่อไป และเมื่อแผนการปกป้องสิ่งมีชีวิตได้รับการอนุมัติในปี ค. ศ. 2014 เมืองโคลตันจึงได้เริ่มพัฒนาสิ่งที่จำเป็นอื่น ๆ ต่อไป
เชื่อมความสัมพันธ์ในชุมชน
นายมอร์แกนร่วมกับนายกเทศมนตรีและผู้นำเมืองอื่น ๆ ได้ชักชวนนักธุรกิจมาร่วมหารือเกี่ยวกับโครงการ Hub City Centre ตั้งแต่ในการวางแผนช่วงแรก ๆ เพื่อทราบความคิดเห็นในการพัฒนาพื้นที่ในแบบที่ทุกคนมีความสนใจร่วมกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความต้องการทางเลือกของที่อยู่อาศัยจำนวนมากจากวิกฤติที่อยู่อาศัยที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นราคาบ้านที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว และจำนวนบ้านที่มีจำกัด นายมอร์แกนจึงคิดปรับเปลี่ยนแผนเดิม โดยเปลี่ยนจากการจัดสรรแปลงที่ดินสำหรับครอบครัวเดี่ยวขนาดใหญ่ สู่การจัดสรรทาวน์โฮมที่หนาแน่นมากขึ้น นายมอร์แกนกล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันพื้นที่ 1 เอเคอร์จะมีที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 25 ยูนิต และแปลงที่ดินขนาดย่อมที่มาพร้อมสนามหญ้าเล็ก ๆ เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก”
ด้วยเสน่ห์ของซานเบอร์นาดิโน และริเวอร์ไซด์เคาน์ตี้ที่อยู่ใกล้ลอสแองเจลิสและออร์เรนจ์เคาน์ตี้ ทั้งยังห่างทะเล ทะเลทราย และภูเขาเพียง 1 ชั่วโมง ทำให้ครอบครัวรุ่นใหม่สนใจย้ายเข้ามาอยู่ในย่านนี้มากขึ้น การเติบโตของประชากรจึงส่อแววว่าจะกลายเป็นปัญหาต่อการขยายตัวของคลังสินค้า ซึ่งตั้งแต่วิกฤติทางเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 2007 หลายเมืองใน Inland Empire ต่างพยายามฟื้นตัวจากวิกฤติด้วยการยกพื้นที่ให้เป็นคลังสินค้า ซึ่งจวบจนทุกวันนี้คลังสินค้าจึงเข้าครอบครองพื้นที่มากกว่าหลายหมื่นตารางฟุตทั่วทั้งภูมิภาค
เดิมทีพื้นที่ที่ไม่ได้พัฒนาในเมืองโคลตันนั้นเหมาะสำหรับเป็นที่ตั้งคลังสินค้าซึ่งจะสร้างความร่ำรวยให้เมืองได้ทันที แต่การชักชวนนักธุรกิจเข้ามาอยู่ในกระบวนการสร้างแผนการพัฒนาร่วมกันจึงช่วยให้ทุกคนเห็นเมืองไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือการเป็นศูนย์กลางของชุมชุม และทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะทำโครงการ Hub City Centre ให้สำเร็จ
การขายวิสัยทัศน์
ทีมงานของนายมอร์แกนรู้ดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากวิสัยทัศน์นี้เพื่อดึงดูดนักพัฒนาอสังหาฯ มาเข้าร่วมในแผนของเมือง พวกเขาจึงสร้างแผนพร้อมสิ่งที่กำลังพัฒนาในรูปแบบโมเดล 3D ผ่าน ArcGIS Urban ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์การวางแผนเมืองอัจฉริยะ เพื่อสาธิตว่าพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดก็สามารกลับมาเป็นพื้นที่ชุมชนที่น่าอยู่ได้ ซึ่งการสร้าง Digital Twin ของเมืองโคลตันยิ่งช่วยให้ทีมงานเห็นภาพโครงการ Hub City Centre ที่มีที่อยู่อาศัย เส้นทางธรรมชาติ ร้านอาหาร นันทนาการ สวนสาธารณะ และอื่น ๆ อีกมากมายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
นายมอร์แกนได้นำโมเดล 3D ขึ้นพรีเซนต์เพื่อทำการเสนอต่อนักธุรกิจค้าปลีกต่าง ๆ ครั้งแรกในการประชุม the International Council of Shopping Centers (ICSC) โดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เดิมทีไม่ได้สนใจในพื้นที่แห่งนี้เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น นายมอร์แกนแสดงความเห็นว่า “มีธุรกิจค้าปลีกรายหนึ่งเคยปฏิเสธโครงการของเราเพราะเขาไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจ แต่ครั้งนี้เขาตอบตกลงหลังจากที่เห็นพรีเซนเทชันและโมเดล 3D ของเรา รวมทั้งธุรกิจค้าปลีกอีกรายหนึ่งก็ตกลงร่วมมือกับเราด้วย ด้วยโมเดล 3D นี้ทำให้เราก้าวไปอีกขั้น และมันเป็นก้าวที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก”
ปัจจุบันนายมอร์แกนรับผิดชอบการดูแลการก่อสร้าง และเราเริ่มเห็นที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร โรงแรม เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหลายปีที่ผ่านมานี้ ขณะเดียวกันนายมอร์แกนก็ยังทำการขายที่ดินที่ยังเหลืออยู่ให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยนายมอร์แกนมีความเห็นว่า “วิสัยทัศน์ของโครงการ Hub City Centre จะวางอยู่บนหิ้งไม่ได้ แต่มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราลงมือทำเท่านั้น”
มอบมรดก
นายมอร์แกนเริ่มทำงานให้กับเมืองโคลตันในปี 2010 หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาเมือง เรดแลนดส์ และเฟรสโน ถึงแม้ว่าโครงการ Hub City Centre ไม่เหมือนกับโครงการอื่น ๆ ที่เขาเคยทำมา แต่เขาก็เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดจากประสบการณ์ที่เขาได้สั่งสมมา และการเติบโตของเมืองโคลตันในปี 2020 คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด นายมอร์แกนกล่าวว่า “ประชาชนต้องการทราบว่าเศรษฐกิจพัฒนาอย่างไรในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านมา และมันก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เมืองเราเติบโตต่อไปได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา” แม้ว่าเมืองต่าง ๆ ประสบปัญหาเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านมา แต่เมืองโคลตันกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านดอลล่าร์จากภาษีการขายและภาษีที่อยู่อาศัย
หลังจาก 42 ปีที่ทำงานมาทั่วแคลิฟอร์เนีย นายมอร์แกนวางแผนเกษียณในเดือนตุลาคมนี้ “ผมได้มอบมรดกที่มีคุณค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง แต่ผมก็มีความหวังว่าจะมีใครสักคนสานต่อความตั้งใจของผมต่อไปเมื่อผมส่งไม้ต่อให้” มอร์แกนกล่าวปิดท้าย
ค้นหาศักยภาพของเทคโนโลยี GIS กับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม